Source: “ชยิกา” ห่วงฉีก MOU43 จะเปิดช่องกัมพูชาดึงพื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก ทำไทยเสียเปรียบ
26 ก.ย. 2568 13:29 น.
ข่าว
การเมือง
ไทยรัฐออนไลน์
“ชยิกา” ห่วงฉีก MOU43 จะเปิดช่องกัมพูชาดึงพื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก ทำไทยเสียเปรียบ
-ก
ก
ก+
Light
Dark
ฟังข่าว
“ชยิกา” ห่วงฉีก MOU43 จะเปิดช่องกัมพูชาดึงพื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก-ฉวยโอกาสใช้แผนที่ 1 : 200,000 ทำไทยเสียเปรียบ ชี้เหตุ บ.หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว เป็นการละเมิดอธิปไตย ไม่ใช่ปัญหา MOU
วันที่ 26 ก.ย. 2568 นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุในแถลงนโยบายของรัฐบาลล่าสุดถึงเรื่องการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจจะยกเลิก MOU ระหว่างไทยกัมพูชาหรือไม่ว่า ในฐานะอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้มีโอกาสติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิดมาตลอด และยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดถึงทุกวันนี้ ซึ่ง MOU 43 มีข้อดี และที่ผ่านมาฝ่ายราชการ ตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ และกองทัพ ได้นำไปใช้กับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นจริง จึงขอวิงวอนให้ทุกคนวางอคติ และรับฟังข้อเท็จจริงด้วยใจเป็นกลาง เพื่อจะได้หารือร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์ ทันเกมการเมืองระหว่างประเทศ และตั้งอยู่บนผลประโยชน์ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
ห่วงทำไทยเสียเปรียบ
นางสาวชยิกา ยังกังวลว่า การยกเลิก MOU43 ยิ่งจะทำให้โอกาสที่ฝ่ายกัมพูชา จะนำเรื่องนี้ไปศาลโลกมีมากขึ้น เพราะไม่ได้มีกรอบเจรจากำหนดไว้อีกต่อไป และแม้ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิด MOU43 นับร้อยครั้ง แต่กัมพูชาก็ไม่เคยเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน เพราะรู้ดีว่าในแง่กฎหมายระหว่างประเทศ ที่ใครบอกเลิกก่อน ย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียหายในแง่ความน่าเชื่อถือต่อสังคมโลก ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้จะยังมีความยากลำบากในการเจรจา สิ่งที่ทำได้ และจะเป็นประโยชน์กว่า คือการชะลอการเจรจาออกไปเรื่อย ๆ ก่อน เพื่อรักษาสถานะที่ได้เปรียบของไทยไว้ อันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติแท้จริง
บ้านหนองจานคือรุกล้ำอธิปไตย
นางสาวชยิกา ยังยืนยันว่า สถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่บ้านหนองจาน และหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ไม่ใช่การรุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนตาม MOU43 แต่เป็นการรุกล้ำอธิปไตย เข้ามาในเขตแดนของไทย เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ MOU43
MOU43 คือข้อผูกพันทางกฎหมาย
นางสาวชยิกา ย้ำว่า MOU43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่บังคับให้กัมพูชาต้องมาคุยกับไทย 2 ฝ่าย (ทวิภาคี) ด้วยสันติวิธี ผ่านกลไกคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา ซึ่งหากยกเลิก MOU กลไก JBC จะสิ้นสุดไปด้วย และ MOU43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่กำหนดให้กัมพูชาห้ามรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ยังไม่มีข้อตกลง และห้ามไม่ให้ขุดคูเลต หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ รวมถึงการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารจนทำให้ทหารไทยเสียชีวิต
นางสาวชยิกา ยังย้ำอีกว่า MOU43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่ทำให้กัมพูชา ต้องมาร่วมปักปันเขตแดนกับไทยผ่านกลไกคณะกรรมาธิการ JBC เป็นข้อตกลง เพื่อการทำแผนที่ใหม่ ให้เป็นที่ยอมรับของทั้ง 2 ฝ่าย และเพื่อใช้แทนแผนที่ 1:200,000 ที่กัมพูชายึดถือ โดยล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ JBC ได้มีมติใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม LIDAR ในการหาสันปันน้ำ เพื่อหาข้อสรุปถึงเส้นเขตแดนที่เป็นข้อตกลงร่วม และเส้นเขตแดนใหม่นี้ จะทำให้เส้นเขตแดนตามแผนที่ 1:200,000 ที่หลายฝ่ายกังวลหมดไป
เท่ากับยกเลิก 45 หลักเขตที่ปักแล้วทั้งหมด
นางสาวชยิกา ยังขอให้พิจารณาว่า หากมีการยกเลิก MOU43 แล้ว หลักเขตแดน 45 หลัก จากทั้งหมด 74 หลัก ที่ตกลงกันไว้ได้ จะหายไปทั้งหมด ซึ่งก็จะเป็นที่น่าเสียดายว่า งานของเจ้ากรมแผนที่ทหารที่ทำมาตลอดกว่า 20 ปี ซึ่งเกือบทั้งชีวิตข้าราชการ อาจทำให้หายไปกับการยกเลิก MOU นี้ด้วย ซึ่งเส้นเขตแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ในปัจจุบันแล้วเสร็จไปกว่า 90% นั้น ใช้เวลากว่า 50 ปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ และการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา เพิ่งทำมาได้ 20 ปี ปักปันไปได้ 60% จึงไม่ถือว่าช้า หรือไม่มีประสิทธิภาพตามที่หลายคนเข้าใจ
ถามรัฐบาลรับผิดชอบไหวหรือไม่
นางสาวชยิกา ยังกังวลว่า การยกเลิก MOU43 เพื่อทำ MOU ใหม่ จึงเป็นการทำให้ประเทศ ต้องเริ่มต้นเรื่องข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาจากศูนย์ หรือจะเรียกติดลบก็ว่าได้ จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาว่า หากกัมพูชาได้เปรียบไทยจาก MOU 43 จริง เหตุใดกัมพูชาจึงบอกว่า MOU นี้ไม่เวิร์ก ต้องยกเลิก และหากระหว่างที่รัฐบาลเจรจาเพื่อร่างกรอบ MOU ในการเจรจาใหม่ เกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดน เกิดการเดินหน้ายกระดับข้อพิพาทเขตแดนไปในเวทีโลก รัฐบาลจะรับผิดชอบต่อความเสียหายครั้งนี้ไหวหรือไม่?
เศร้าใจ อคติตระกูลชินวัตร
นางสาวชยิกา ยังระบุว่า เป็นที่น่าเศร้าใจ หากใครถือธงยกเลิก MOU43 เพียงเพราะอคติ ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิดต่อตระกูลชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย เล่นการเมือง จนไม่ดูข้อเท็จจริง ลืมนึกผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งผู้นั้นต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย พร้อมย้ำว่า ในฐานะอดีตที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้มีโอกาสติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิดมาตลอด และยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดถึงทุกวันนี้ ได้มีโอกาสสัมผัสกับความสูญเสียและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งเรื่องที่พูดกันในทางสาธารณะ และการพูดคุยกันบนโต๊ะประชุมหลายครั้งโดยมิอาจนำเรื่องออกมาสื่อสารได้ อีกทั้งยังมีข้อมูลที่ปรากฏในหน้าสื่อหลายที่ ที่เป็นเพียงความเชื่อ-ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะการใช้ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปตัดสินใจแก้ปัญหาประเทศ จะส่งผลเสียต่อประเทศในระยะสั้นและยาวแน่นอน