Source: เรื่องเล่าจาก เช็ค สุทธิพงษ์ เมื่อลูกผู้จบเกียรตินิยมอันดับ 1 ตัดสินใจเป็นลูกจ้างร้านทำผม
วันที่ 7 ธันวาคม 2566 – 17:39 น.
เรื่องเล่าจาก เช็ค สุทธิพงษ์ เมื่อลูกผู้จบเกียรตินิยมอันดับ 1 ตัดสินใจเป็นลูกจ้างร้านทำผม
‘ผมพบว่า ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งพิเศษเหนือความคาดหมายอะไรมามอบให้ เพียงแค่สิ่งเล็กๆน้อยๆจากลูก ก็นำความสุขมาให้คนเป็นพ่อแม่ได้มากมาย’ เช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ พิธีกร และผู้ผลิตสื่อชื่อดัง แห่งทีวีบูรพา บอกไว้อย่างนั้นเพจ Suthipong Thamawuit ของเขา
จากนั้นก็เล่าว่า
‘เมื่อคืน ลูกสาวคนเล็กที่ทำงานเป็นผู้ช่วยช่างทำผมในร้านซาลอน เอามือที่สากและลอกเป็นขุยของเธอมาให้ดู จับมือไปเทียบกันแล้วบอกว่า ดูสิ ตอนนี้มือพ่อนุ่มกว่ามือหนูอีก
ผมถามว่าเป็นเพราะสารเคมีหรือเปล่า เพราะงานของเธอเกี่ยวกับการย้อมสีผม เธอบอกว่าไม่ เพราะตอนใช้สารเคมีเธอใส่ถุงมือ
เธอไม่ได้กังวลกับมือที่สากและลอกเป็นขุยนั้น แต่เหมือนจะอวดว่านั่นคือร่องรอยของความเอาจริงเอาจังจากการทำงาน
งานของเธอเป็นลูกจ้างเล็กๆ เด็กฝึกหัดอยู่ในร้านทำผมขนาดย่อม ที่เธอรู้สึกว่าเธอโชคดีที่ได้ทำงานในร้านนี้
เธอตื่นไปทำงานอย่างกระตือรือร้น มีวินัยและกลับจากทำงานด้วยความสุขทุกวัน
แม้ว่าบางวันจะ“ยม” จนแทบไร้วิญญาณ
อย่างวันที่ผ่านมานี้ เนื่องจากลูกค้าที่มาอุดหนุนร้าน กับจำนวนพนักงานที่มีลากิจบ้าง ลาป่วยบ้าง สร้างความชุลมุนในการทำงานไม่น้อย และกว่าจะเสร็จก็ค่ำมืด เธอยืนทำงานทั้งวันจน“ยม”
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ทุกครั้งสิ่งที่เธอนำกลับมาให้พ่อเห็น ก็คือความภาคภูมิใจที่ทำภารกิจลุล่วงจนได้ ผมพบว่านี่เป็นโบนัสที่เธอได้รับจากการทำงานแทบทุกวัน
และทุกคืนที่นั่งคุยกัน ผมก็จะพลอยมีความสุขกับเธอไปด้วย
เมื่อคืนเธอพูดกับผมในสิ่งที่ไม่เคยพูดมาก่อน เธอบอกว่า เธอเป็นพนักงานฝึกหัดที่ถูกตั้งคำถามว่า ทำไมถึงมาทำงานเป็นลูกจ้างร้านทำผม ผมถามว่าทำไม
เธอบอกว่า พ่อนึกออกไหม สังคมจะมีเกรดหรือภาพของเด็กลูกจ้างในร้านทำผมแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เด็กจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะเกี่ยวกับโซเชี่ยลเอนเตอร์ไพรซ์ ด้วยเกรดเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างเธอ ซึ่งน่าจะไปทำงานสตาร์ทอัพ หรือไม่ก็งานสื่อสารองค์กรในบริษัทชั้นนำ ที่น่าจะมีรายได้และอนาคตมากกว่าการดัดย้อมผมหลายเท่า
แต่เธอไม่เคยมองว่าเธอเป็นคนเกรดไหน และงานทำผมเป็นงานของคนเกรดอะไร แค่เธอพบว่า งานทำผมคืองานที่เธอทำแล้วมีความสุข
ผมไม่เคยสงสัยและคาดหวังอื่นใดในการเลือกของลูก ผมมีความสุขกับการที่ลูกไปทำงานอย่างมีความสุข และกลับจากทำงานด้วยความสุขและภาคภูมิใจทุกวัน
ผมคิดว่า นี่คือคือปัจจุบันและการเริ่มต้นที่ดีที่สุด
การเริ่มต้นเดินทางที่ชัดเจนและรู้ความหมายนั้น จะนับว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่งก็น่าจะได้
เพราะในวัยเดียวกัน ผมเคยผ่านมาแล้ว ด้วยความเคว้งคว้าง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะพาชีวิตไปทางไหนดี
อย่าว่าแต่ทางที่ไปใช่หรือไม่เลย แม้แต่เขาเลือกทางชีวิตกันแบบไหน อย่างไรผมก็ยังไม่รู้
เพราะฉะนั้น เห็นความธรรมดาของลูกแค่นี้ ก็เป็นรางวัลที่พิเศษสุดของพ่อแล้ว
ก่อนขอตัวขึ้นไปนอน เธอบอกว่า พ่อก็เป็นช่างตัดผมได้นะ ถ้าได้เรียน ผมบอกว่าก็น่าจะได้นะ แต่น่าจะเลี้ยงลูกไม่ได้ เพราะไม่น่าจะมีใครมาตัดกับพ่อ
เธอหัวเราะแล้วบอกทีเล่นทีจริงว่า แต่มือนี้เลี้ยงพ่อได้นะ เพราะนี่คือมือของคนที่จะรวย
ผมนึกในใจ ถ้ามือสากด้านบ่งบอกความรวย ที่ผ่านมา พ่อน่าจะระดับมหาเศรษฐี แต่ไม่ทันได้พูด เธอก็บอกว่า ไปอาบน้ำนอนล่ะ พรุ่งนี้ต้องรีบไปแต่เช้า
ผมถามว่าทำไมต้องไปแต่เช้า ก็วันนี้ยมมาทั้งวัน เธอบอกว่าไปพับฟอยล์(วัสดุที่ใช้ในการทำสีผม)เดี๋ยวจะไม่มีใช้ ผมถามว่าปกติเป็นหน้าที่ของลูกหรือ เธอบอกว่าไม่ใช่ คนที่รับผิดชอบไม่มาทำงาน
ถามต่อว่าถ้าลูกไม่พับ ใครพับ เธอตอบว่าเจ้าของร้าน ผมบอกว่าถ้าร้านมีพนักงานที่คิดแบบลูกสักครึ่งหนึ่ง จะเป็นร้านที่ดีและเจ้าของร้านก็โชคดีมาก
เธอขึ้นไปแล้ว ผมคิดว่าไม่ใช่แค่เจ้าของร้านหรอกที่โชคดี ตัวเองก็โชคดีมาก ที่ได้รางวัลทุกวันจากการสนทนากับลูก’
และจากข้อเขียนข้อเขียนดังกล่าวก็มีผู้เข้ามาร่วมแสดงความเห็นหลายคน โดยหนึ่งในนั้นบอก ‘โอ้โห น่ารักจังลูกสาวพ่อ เขาทำในสิ่งที่ชอบความสุขก็เกิด พ่อก็สุขด้วย ชื่นใจจังอ่านบทสนทนาพ่อลูกนะคะ’